ในวันที่ 31 ตุลาคม 2025 สหรัฐอเมริการ่วมกับสำนักเลขาธิการอาเซียนและบริษัท APTelecom จัดการประชุม US–ASEAN Connect Series: Undersea Cable Maintenance & Repair Best Practices Workshop ณ กรุงจาการ์ตา โดยมีผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน หน่วยงานกำกับดูแลด้านดิจิทัล และผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคมกว่า 45 คนเข้าร่วม ทั้งในรูปแบบ onsite และออนไลน์ โดย ศรชล.ได้มอบหมายให้นายธนาธิป จันทรภักดี รองผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการ 2 เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมร่วมกับผู้แทนจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

การประชุมมีวัตถุประสงค์ในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการบำรุงรักษาและการซ่อมสายเคเบิลใต้น้ำ (Submarine Cables) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของอินเทอร์เน็ตโลก โดยกว่า 99% ของการสื่อสารระหว่างประเทศทั่วโลก พึ่งพาการส่งข้อมูลผ่านสายเคเบิลใต้น้ำที่มีความคุ้มค่า เสถียร และปลอดภัยสูงสุด ปัจจุบันมีสายเคเบิลมากกว่า 600 เส้นทั่วโลก และความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเท่าตัวทุก 2 ปี ทำให้การดูแล บำรุงรักษา และซ่อมแซมสายเคเบิลมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์อย่างยิ่งต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและดิจิทัลของภูมิภาค ความเสียหายต่อสายเคเบิลมากกว่า 60% มีสาเหตุมาจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การลากสมอเรือและอุปกรณ์ประมง ซึ่งอาจส่งผลให้ GDP ของประเทศลดลงได้ถึง 12% ดังนั้นการมีระบบการบำรุงรักษาและซ่อมแซม (Maintenance & Repair: M&R) ที่มีประสิทธิภาพและกระบวนการอนุญาตที่รวดเร็วเป็นสิ่งจำเป็น

ผู้แทนจากหลายประเทศได้เสนอแนวทางที่แตกต่างกัน ได้แก่ มาเลเซียได้นำเสนอการปรับปรุงกระบวนการออกใบอนุญาตเพื่อให้เกิดความรวดเร็วและโปร่งใส ขณะที่ประเทศไทย (โดย ศรชล.) ได้นำเสนอระบบประสานงานหลายหน่วยงานที่ช่วยลดระยะเวลาอนุญาตและซ่อมสายเคเบิลอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนอินโดนีเซียเน้นการจัดการพื้นที่ทางทะเลโดยอาศัยแนวคิด Marine Spatial Planning เพื่อปกป้องสายเคเบิลจากกิจกรรมทางทะเลรูปแบบต่าง ๆ ส่วนสิงคโปร์แสดงบทบาทนำด้านมาตรฐานระดับภูมิภาค

ผู้แทนจากประเทศอาเซียนได้ร่วมอภิปรายในประเด็นและแนวคิดใหม่ เช่น Pre-permitting และ Zonal Maintenance ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพในการบำรุงรักษาสายเคเบิลใต้น้ำของภูมิภาค นอกจากนี้ การประชุมยังเน้นบทบาทสำคัญของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีความปลอดภัย ยืดหยุ่น และไว้วางใจได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน โดยประเทศสมาชิกต่างเห็นพ้องร่วมกันว่าความร่วมมือที่เริ่มต้นในเวทีนี้ควรได้รับการต่อยอดในปี 2026 เพื่อสร้างกลไกความร่วมมือที่ยั่งยืนและพัฒนามาตรฐานระดับภูมิภาคให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น

โดยการประชุมครั้งนี้เกี่ยวข้องกับภารกิจของ ศรชล. ในด้านต่างๆ ดังนี้

· การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล โดยปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในทะเล (Critical Maritime Infrastructure)

· การบูรณาการหลายหน่วยงาน เพื่อรองรับการซ่อมบำรุงสายเคเบิลให้รวดเร็วและลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

· การเฝ้าระวังและป้องกันภัยคุกคามจากกิจกรรมมนุษย์ในทะเล เช่น การลากสมอและกิจกรรมประมงที่เสี่ยงต่อสายเคเบิล

· การสนับสนุนความมั่นคงดิจิทัลของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับแนวนโยบายด้านความมั่นคงทาง ไซเบอร์และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ